baaninspire-butterfly
Categories
เคล็ดลับในบ้าน

ซื้อเครื่องซักผ้าใหม่ ต้องดูอะไรบ้าง?

                เครื่องซักผ้า จัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านอีกหนึ่งชนิด ที่มีให้เลือกเยอะมาก เฉพาะที่มีขายในไทยมีกว่า 200 รุ่นแล้ว ไหนจะมีทั้งแบบฝาบน ฝาหน้าอีก จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเริ่มต้นไม่ถูก ว่าก่อนซื้อจะต้องดูอะไรบ้าง วันนี้เราเลยขอมาแนะนำวิธีเลือกเครื่องซักผ้าเครื่องใหม่ให้ถูกใจคนใช้งานกันมากที่สุด ดังนี้

  1. สำรวจพฤติกรรมการใช้ ซักจำนวนเยอะแค่ไหน ซักบ่อยแค่ไหน?
    เพราะเครื่องซักผ้าแต่ละประเภท แต่ละขนาดนั้น ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเลือกซื้อโดยไม่คำนึงในจุดนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ซักผ้าไม่สะอาดเพราะจำนวนผ้าเยอะเกินไป ผ้าขาดตอนซัก ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการที่เครื่องทำงานหนัก หรือการลดอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยไม่รู้ตัว
  • ตำแหน่ง และขนาดพื้นที่ติดตั้ง
    ก่อนทำการซื้อต้องคิดถึงเรื่องตำแหน่งและพื้นที่ในการติดตั้งสักหน่อย เนื่องจากบางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์ตลกร้าย เช่น เอาเครื่องเข้าประตูห้องไม่ได้ หรือไม่สามารถต่อท่อน้ำได้ เพราะด้วยพื้นฐานการใช้งานที่จำเป็นต้องใส่น้ำเข้าและทิ้งน้ำออก เป็นต้น ดังนั้นการหาพื้นที่ๆ เหมาะสมและวัดขนาดพื้นที่จึงเป็นเรื่องที่ต้องดูก่อนไปซื้อ

  • เลือกขนาดความจุตัวเครื่องตามน้ำหนักผ้าที่ซัก

ตัวเลขที่มีหน่วยเป็น “กิโลกรัม” บนเครื่องซักผ้า เช่น 8kg. 10kg. 15kg. หมายถึง น้ำหนักมากที่สุดของผ้าที่เครื่องรับไหว และสามารถซักได้สะอาด มีประสิทธิภาพดีที่สุดต่อการซัก 1 ครั้ง โดยไม่ทำให้เครื่องต้องทำงานหนักมากเกินไป ยิ่งตัวเลขมากเท่าไหร่ ตัวเครื่องยิ่งมีขนาดใหญ่ และยิ่งใส่ผ้าได้จำนวนเยอะขึ้น ซึ่งถ้าเราเลือกความจุไม่พอดี ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาได้หลายอย่าง เช่น ผ้าไม่สะอาด กินพื้นที่ใช้สอยในบ้าน และกินไฟเกินควร เป็นต้น

  • เลือกประเภทเครื่องตามลักษณะการใช้ เปรียบเทียบฝาบน-ฝาหน้า
    จริงอยู่ว่าเครื่องประเภทไหนก็ใช้ซักผ้าได้หมด แต่ซักได้ดีไม่เท่ากัน โดยปกติประเภทของเครื่องซักผ้าจะถูกแบ่งตามตำแหน่งของฝาตัวเครื่อง ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาหน้า และเครื่องซักผ้าฝาบน ซึ่งทั้งสองชนิดมีข้อดีแตกต่างกัน เช่น ราคาชนิดฝาบนถูกกว่าฝาหน้า ความเร็วในการซักชนิดฝาบนใช้เวลาน้อยกว่าฝาหน้า ส่วนเรื่องความสะอาดและการถนอมผ้า ชนิดฝาหน้าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าฝาบน ทั้งยังมีโหมดการใช้งานหรือฟังก์ชั่นเสริมที่มากกว่า เป็นต้น ให้ลองพิจารณาและเลือกชนิดที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

              สุดท้าย หากต้องการได้เครื่องซักผ้าที่ประหยัดไฟ ก็ควรเลือกใช้เครื่องที่เป็นระบบมอเตอร์แบบ อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ก็จะช่วยได้มากเลยทีเดียว

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“กาต้มน้ำร้อน” เลือกอย่างไรปลอดภัยที่สุด?

              กาต้มน้ำร้อน คือเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่จะช่วยให้เราได้น้ำร้อนสำหรับชงเครื่องดื่มเมนูโปรด แถมยังใช้อุ่นชา หรือยาจีนเอาไว้จิบได้ตลอดวันอีกด้วย          

           ปกติแล้วกาน้ำร้อนที่ใช้ในบ้านจะมี 2 แบบด้วยกัน คือแบบที่ต้องใช้ความร้อนจากเตา และแบบกาไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลย ซึ่งในปัจจุบันเราอาจไม่ค่อยได้เห็นกาน้ำแบบแรกกันเท่าไหร่นัก เพราะทุกวันนี้กาไฟฟ้าได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากใช้งานง่าย ขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังมีราคาไม่แพงด้วย โดยกาไฟฟ้าจะทำมาจากวัสดุหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับการออกแบบและดีไซน์ของแต่ละยี่ห้อ ดังนี้

  • โลหะ
    โลหะคุณภาพสูง เป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการนำมาทำเป็นกาต้มน้ำไฟฟ้า เพราะมีความแข็งแรง ทนต่อความร้อนสูง เหมาะในการนำมาทำเป็นวัสดุหุ้มด้านนอกของตัวกา นอกจากนี้ยังนิยมนำมาทำเป็นฐานรองตัวกาด้วย
  • พลาสติก
    พลาสติกที่เป็นโพลิเมอร์เรซินอย่าง Polypropylene (PP) และ Polyethylene (LLDPE) ซึ่งมีจุดหลอมเหลวสูง สามารถทนความร้อนได้ดี มักจะนำมาใช้คู่กับโลหะในการทำฐานตัวกา หรือนำมาทำเป็นส่วนด้านบนของตัวกา ฝาปิดพวยกาหรือด้ามจับกา ส่วนกาบางรุ่นที่มีราคาถูก ก็อาจจะนำพลาสติกมาทำเป็นตัวเคลือบด้านนอกตัวกาแทนการใช้โลหะคุณภาพสูงได้
  • แก้ว
    กาต้มน้ำร้อนบางยี่ห้อ มีการออกแบบโดยใช้แก้วมาทำเป็นตัวกา โดยแก้วที่นำมาใช้จะเป็นแก้วที่ทนความร้อนสูงมาก อีกทั้งยังทำให้มีความสวยงามและโดดเด่น
  • ยาง
    ยางก็ถูกนำมาใช้ในการทำกาสำหรับต้มน้ำเช่นเดียวกัน โดยยางจะนำมาใช้ประกอบฐานรองตัวกา เพื่อป้องกันให้พื้นผิววัสดุที่สัมผัสกับตัวกาไม่ถูกทำลายโดยความร้อนที่ออกมาจากตัวการะหว่างที่กำลังทำงาน

             วัสดุที่นำมาใช้ทำกาต้มน้ำนั้นมีอยู่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละแบรนด์ ยิ่งมีราคาแพงเท่าไหร่ คุณภาพของวัสดุที่นำมาทำก็จะยิ่งมีคุณภาพสูงมากเท่านั้น กาไฟฟ้าราคาปานกลาง ก็อาจจะใช้วัสดุอลูมิเนียม ซึ่งก็สามารถสร้างภาพลักษณ์หรูหรา เมื่อถูกวางโชว์อยู่ในห้องครัวได้ไม่ต่างกับโลหะชนิดอื่น สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกกาไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำก็คือระบบรักษาความปลอดภัยมากกว่า โดยควรเลือกกาที่มีระบบทำความร้อนที่สามารถปิดได้เองอัตโนมัติ เมื่อน้ำในกาเริ่มร้อนและระเหยจนแห้งติดก้นกา นอกจากนี้ก็ควรเลือกกาไฟฟ้าที่มีสายไฟและปลั๊กแข็งแรงทนทานต่อการใช้งาน พร้อมทั้งมีการประกันคุณภาพการใช้งานจากยี่ห้อที่สามารถเชื่อถือได้

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เครื่องฟอกอากาศ

เลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน

                  เครื่องฟอกอากาศ คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยกรองสิ่งแปลกปลอมในอากาศ อย่างฝุ่นควัน หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ เพื่อให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งในช่วงหลังๆ มานี้ เครื่องฟอกอากาศได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เป็นผลมาจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ หลายคนจึงเกิดความกังวล และมองหาเครื่องฟอกอากาศมาใช้ เพื่อปกป้องตนเองและคนในครอบครัว

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ

  • ช่วยลดภาวะปนเปื้อนในอากาศ
    จากผลสำรวจพบว่า อากาศที่อยู่ในบ้านเรามีความสกปรกกว่าอากาศด้านนอกถึง 2 – 5 เท่า และส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างฝุ่น PM 2.5 ที่เล็กกว่าเส้นผมถึง 25 เท่า, ละอองเกสร และเชื้อโรค ดังนั้นการมีเครื่องฟอกอากาศในบ้าน จะทำให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัยจากสิ่งปนเปื้อนในอากาศมากขึ้น
  • ช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์
    ในเครื่องฟอกบางประเภท จะใช้แผ่นกรองที่สามารถดักจับ และขจัดกลิ่นแปลกปลอมในอากาศ เช่น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นสัตว์เลี้ยง กลิ่นอาหาร หรือกลิ่นสารเคมีที่มีกลิ่นฉุน เช่น เรซิน แลคเกอร์ หรือ น้ำยาทาเล็บ ได้

  • ลดสารก่อภูมิแพ้
    ใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบ หืด ที่มีสาเหตุมาจากสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีฟังก์ชั่นกรองสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสร สารในขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่น ฯลฯ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงอาการกำเริบได้

วิธีการซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งาน

  1. ฟังก์ชั่นการใช้งาน

เครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นนั้น มีความเหมาะสมต่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรตอบให้ได้ก่อนก็คือ เราต้องการจะซื้อมาเพื่ออะไร เช่น ป้องกันฝุ่น กำจัดกลิ่น ฆ่าเชื้อโรค ฯลฯ นอกจากนี้ในเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ๆ ก็ได้เพิ่มฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ให้ทำอะไรได้มากกว่าเก่า และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น ฟีเจอร์ดักจับยุง หรือฟีเจอร์เชื่อมต่อและควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชั่น เป็นต้น

  • ขนาดพื้นที่ห้อง

สิ่งสำคัญอันดับต่อมาคือเรื่องขนาดห้อง เพราะหากห้องที่จะนำเครื่องไปติดตั้งมีพื้นที่มากกว่าสเปคที่ตัวเครื่องรองรับ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการฟอกอากาศทำงานได้ไม่เต็มที่

  • งบประมาณ

เครื่องฟอกอากาศที่วางขายในบ้านเรา มีราคาตั้งแต่สามพันบาท ไปจนถึงหลายหมื่นบาท แต่ก็ใช่ว่าซื้อเครื่องแล้วจะใช้ได้ตลอดกาล เนื่องจาก “แผ่นกรองอากาศ” เป็นสิ่งมีอายุการใช้งานจำกัด เมื่อมันเสื่อมจะต้องซื้อใหม่

  • กำลังไฟ/การประหยัดไฟ

เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป การเลือกซื้อจะต้องคำนึงถึงกำลังไฟฟ้าที่จะส่งผลต่อค่าไฟ ยิ่งมีจำนวนวัตต์มาก ก็จะยิ่งกินไฟมาก ไม่ต้องถึงกับต้องมีป้ายประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะกำลังไฟของเครื่องฟอกอากาศ จะอยู่ราว ๆ 29 – 50 วัตต์ พอๆ กับพัดลมตั้งโต๊ะ และบางรุ่นจะมีโหมดประหยัดพลังงานมาให้ด้วย

               นอกจากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่าลืมดูเรื่องการรับประกันและบริการหลังการขายที่ดีด้วย เพราะจะทำให้ส่งเคลมได้รวดเร็ว โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ จะมีศูนย์ซ่อมค่อนข้างเยอะคอยอำนวยความสะดวกกรณีเกิดปัญหาได้เป็นอย่างดี

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com 

FB : คนรักบ้าน 

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“หม้อทอดไร้น้ำมัน” ทำอาหารให้ Healthy

               การจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้น อาหารการกินนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งการที่เราจะสามารถกินอาหารให้มีสุขภาพดีได้ ก็สามารถเริ่มได้ง่ายๆ ได้ที่บ้านของเราเอง และ หม้อทอดไร้น้ำมัน ก็ถือเป็นไอเทมเด็ด ที่จะช่วยให้เราสามารถทำอาหารเพื่อสุขภาพได้

หม้อทอดไร้น้ำมันคืออะไร?

           หม้อทอดไร้น้ำมัน มีหน้าตาคล้ายหม้อต้มกาแฟ แต่มีถาดวางอาหารดิบอยู่ภายใน เมื่อเปิดใช้งาน ตัวหม้อก็จะทำให้อาหารสุกโดยมีสภาพเหมือนกับการทอดด้วยกระทะน้ำมัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้น้ำมันแม้แต่หยดเดียว แต่อาศัยการเป่าลมร้อนอุณหภูมิสูงเพื่อทำให้อาหารสุกคล้ายของทอดนั่นเอง จึงทำให้อาหารที่ได้มีความ Healthy เพราะไม่ได้ใช้น้ำมันเลย

วิธีการเลือกหม้อทอดไร้น้ำมัน ให้ได้ของดีมีคุณภาพ

  1. เลือกชนิดของหม้อให้เหมาะกับการใช้งาน

หม้อทอดไร้น้ำมันมีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่ หม้อทอดไร้น้ำมันแบบใบพาย (Paddle-type Air Fryer) หม้อทอดไร้น้ำมันแบบฮาโลเจน (Halogen Air Fryer) และ หม้อทอดไร้น้ำมันแบบตะกร้า หรือแบบลิ้นชัก (Basket-type Air Fryer)  โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดังนี้

  • แบบใบพาย (Paddle-type Air Fryer) เป็นหม้อทอดแบบที่มีใบพายมาด้วย ซึ่งใบพายจะเป็นตัวช่วยกระจายความร้อนให้อาหารสุกได้ทั่วถึง โดยที่เราไม่ต้องคอยพลิกกลับอาหาร จึงสะดวกเวลาใช้งาน และหน้าตาอาหารออกมาสวยงามน่ากิน เพราะจะได้สีของอาหารที่สม่ำเสมอกัน แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหม้อทอดแบบอื่นๆ
  • แบบฮาโลเจน (Halogen Air Fryer) เป็นหม้อทอดที่อาศัยความร้อนจากหลอดฮาโลเจน ความร้อนจะไหลผ่านอาหาร ซึ่งปกติหม้อทอดแบบนี้จะมีตะแกรง 1 ชั้นเพื่อรองอาหาร ความร้อนจะทำให้อาหารสุกทั่วถึง และข้อดีคือตัวหม้อทอดจะเป็นแก้วใส สามารถสังเกตอาหารได้ว่าสุกหรือยัง โดยที่ไม่ต้องคอยเปิด
  • แบบตะกร้า หรือแบบลิ้นชัก (Basket-type Air Fryer) หม้อทอดแบบถอดออกได้ ในรูปแบบของตะกร้า หรือลิ้นชัก มีหลักการทำงานคือความร้อนจะไหลผ่านอาหารลงสู่ด้านล่าง โดยตะแกรงจะเป็นตัวกรองน้ำมันส่วนเกินออกจากอาหาร และมีถาดรองอยู่ด้านล่าง เหมาะสำหรับคนชอบอาหารคลีน แต่ข้อเสียคือ จะต้องคอยพลิกอาหารให้สุกเท่ากัน หม้อทอดแบบนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะราคาไม่สูงมาก
  • เลือกความจุให้เหมาะสมกับการใช้งาน

หม้อทอดไร้น้ำมันมีหลายขนาด ตั้งแต่ 2, 3, 4 และ 5 ลิตร การเลือกจึงขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร หากทำอาหารจานใหญ่ๆ เช่น อบไก่ทั้งตัว ก็ควรเลือกไซส์ใหญ่กว่าปกติ เช่น 4 ลิตร ขึ้นไป

            คนรักสุขภาพที่ยังไม่มีหม้อทอดไร้น้ำมันติดครัวไว้ ควรต้องรีบหามาใช้งานกันได้แล้วนะ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ VS โน๊ตบุ๊ค …. แบบไหนน่าใช้กว่ากัน

                 คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอ เมื่อหลายคนกำลังสนใจมองหาคอมพิวเตอร์ไว้ใช้งานสักเครื่องก็คือ จะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ หรือ Notebook ดี? บ้างก็มองว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแรงกว่า บ้างก็มองว่า Notebook สะดวกกว่า สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจและติดตามข่าวสารอุปกรณ์ไอทีอยู่ตลอด ถือว่าเสี่ยงไม่น้อยที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ที่ไม่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเอง ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ จึงควรสรุปความต้องการของตัวเองก่อน แล้วจึงมองหาคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติตรงใจที่สุด

ความแตกต่างระหว่าง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กับ Notebook’
           แม้จะมีเทคโนโลยีเดียวกัน และมีอุปกรณ์หลายๆ อย่างที่ใช้งานร่วมกันได้ แต่คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ กับNotebook ก็มีความแตกต่างกันหลายอย่าง ทั้งลักษณะการใช้งาน คุณสมบัติ และราคา ซึ่งความแตกต่างกันเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทั้งสิ้น ซึ่งข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ

  • หน่วยประมวลผล
    เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 แบบแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยหน่วยประมวลผลหรือ CPU ของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจะเร็วและแรงกว่า Notebook มาก เพราะใช้พลังงานโดยตรงจากแหล่งจ่ายไฟ แต่กับ Notebook จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ หากใช้พลังงานสิ้นเปลืองแบตก็จะหมดเร็ว และเกิดความร้อนสะสมในเครื่องมาก ด้วยข้อจำกัดเช่นนี้ CPU ใน Notebook จึงมักจะเป็นแบบประหยัดพลังงาน แต่ถึงจะไม่แรงเท่าคอมฯ ตั้งโต๊ะ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เหมาะกับการทำงานหนักๆ ได้ เพราะทุกวันนี้สามารถเล่นเกมกราฟิกสูงๆ ใช้ในงานตัดต่อรูปและวิดีโอได้ไม่ต่างจากคอมฯ ตั้งโต๊ะ เพียงแต่อาจจะใช้เวลานานกว่า ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับงานที่เร่งรีบ
  • การอัพเกรด
    หากเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ผู้ใช้สามารถสนุกกับการอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆ และโมดิฟายคอมพิวเตอร์ตัวเก่าได้แทบทุกชิ้นส่วน ไม่ว่าจะอยากให้เครื่องมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนก็สามารถเพิ่มเติมภายหลังได้เรื่อยๆ แต่กับ Notebook นั้นไม่เหมือนกัน เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นระบบปิด จึงไม่สามารถอัพเกรดอุปกรณ์อื่นใด นอกจาก Ram, Storage Drive และ Disk Drive หากต้องการ Notebook ที่เร็วแรง จะต้องซื้อเครื่องที่มีคุณสมบัติสูงตั้งแต่แรก

สรุปแล้วคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กับ Notebook แบบไหนดีกว่ากัน
             ก็คงบอกได้เพียงว่า ทั้ง 2 แบบต่างมีข้อดีด้วยกันทั้งคู่ โดย Notebook ก็มีข้อดีตรงพกพาสะดวกสามารถนำติดตัวไปได้ในทุกที่ ส่วนคอมฯ ตั้งโต๊ะก็เหมาะกับการใช้งานหนักๆ มากกว่า หน้าจอมีภาษีกว่า เพราะสามารถเลือกได้ว่าจะใช้หน้าจอใหญ่โตแค่ไหนก็ได้ ซึ่งดีต่องานกราฟิกต่างๆ ในขณะที่ Notebook มีหน้าจอใหญ่สุดเพียง 17 นิ้วเท่านั้น หากต้องทำงานที่มีสเกลใหญ่ ก็อาจต้องซื้อหน้าจอเพิ่ม

            กล่าวโดยสรุปคือ คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 แบบต่างก็มีข้อดีที่อีกแบบไม่มี จึงนำมาเปรียบเทียบหรือแทนที่กันไม่ได้ ฉะนั้นควรต้องเลือกว่า เครื่องแบบไหนตอบโจทย์การทำงานของเราได้มากกว่า

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เรื่องพลาดๆ ของการตกแต่งไฟในบ้าน

               หลายคนมักทำผิดพลาด เกี่ยวกับการตกแต่งแสงไฟในบ้าน เพราะเรื่องของไฟไม่ใช่แค่ให้แสงสว่างเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกำหนดบรรยากาศในบ้านด้วย เรียกว่าถ้าอยากให้บ้านออกมาลุคไหน ก็ใช้ไฟเป็นตัวกำหนดได้เลย วันนี้เราได้รวบรวม ข้อผิดพลาดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องไฟในบ้านมาให้ดูกัน ลองไปเช็กกันดีกว่าว่าเราพลาดตรงไหนกันบ้าง จะได้แก้ไขทัน

  1. เน้นแสงไฟจากแหล่งเดียว         

แสงที่ดีควรต้องมีความหลากหลาย ดังนั้นอย่ายึดติดกับแสงแค่แหล่งเดียว เช่น ไฟเพดาน แต่ให้ผสมผสานความแตกต่างของแสงหลายๆ แหล่ง ทั้งจากเพดาน จากพื้น โคมไฟบนโต๊ะ และโคมไฟข้างเตียง เป็นต้น ซึ่งแสงที่สว่างลดหลั่นกันเหล่านี้ จะสร้างบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

  • ไม่คำนึงถึงเรื่องวัตต์         

อย่าใช้ความรู้สึกตัดสินความสว่างที่ต้องการในบ้าน แต่ควรใช้ความรู้เรื่องวัตต์เป็นตัวตัดสิน เช่น มุมที่ใช้อ่านหนังสือจะต้องการความสว่าง 75-100 วัตต์ ส่วนไฟเพดานห้องน้ำควรจะอยู่ที่ 75 วัตต์ เป็นต้น

  • ใช้แสงไฟสว่างจ้าเกินไป         

อย่าใช้ไฟที่สาดแสงแรงจนเกินไป เพราะจะให้ความรู้สึกกำลังถูกจับจ้องอยู่บนเวที ไม่ว่าจะห้องไหนๆ ในบ้าน เพราะแสงไฟไม่ควรทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นหรือกังวล เหมือนกับกำลังอยู่บนเวทีอะไรซักอย่าง

  • ใช้ไฟเยอะเกินไป          

ควรใช้ไฟเท่าที่จำเป็น เพราะการติดตั้งไฟมากเกินไป อาจทำให้บรรยากาศในบ้านดูเหมือนงานวัด นอกจากนี้ควรเลือกชนิดของไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย เช่น ห้องน้ำอาจต้องใช้ไฟเพดาน แต่หากติดไฟเพดานในห้องนั่งเล่น อาจทำให้บรรยากาศดูไร้มิติได้ 

  • ติดสวิตช์ไฟไว้ผิดที่         

สวิตช์ไฟก็ควรจะอยู่ใกล้กับประตูเข้า-ออกเท่านั้น โดยอย่าลืมคำนึงถึงความสูง หรือตำแหน่งที่เหมาะสมด้วย โดยต้องพิจารณาร่วมกับเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของประดับบนผนังด้วย

  • ใช้แสงไฟแบบปรับความสว่างไม่ได้         

แสงไฟคือตัวสร้างบรรยากาศในบ้าน ดังนั้นควรติดตั้งไฟแบบที่ปรับความสว่างได้ เวลาต้องการความผ่อนคลายจะได้หรี่ไฟให้แสงนุ่มนวล แต่หากต้องการอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แสง ก็จะได้เร่งความสว่างได้ง่ายๆ

  • ไม่ติดไฟในตู้เสื้อผ้า
    นอกจากการติดไฟในห้องต่างๆ ภายในบ้านแล้ว ในตู้เสื้อผ้าก็ต้องการไฟเช่นกัน ดังนั้นอย่าละเลยที่จะติดไฟในตู้เสื้อผ้าด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในยามที่ต้องการจับคู่สีเสื้อผ้า หรือรื้อหาถุงเท้าที่สีดูคล้ายกันไปหมด

              อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่เผลอทำข้อไหนผิดพลาดไปบ้าง ก็อย่าลืมแก้ไขให้ถูกต้องกันนะ เพื่อบ้านที่สวยดูดี จะได้อยู่กับเราไปอีกนานๆ ยังไงล่ะ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เลือกซื้อเตารีดใหม่ ต้องดูอะไรบ้าง?

                เตารีด นับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้าน ที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้ายับๆ ให้อยู่ในสภาพที่เรียบพร้อมใช้งานได้ สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะซื้อใหม่ และอยากได้เตารีดที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด มีหลายสิ่งที่ควรต้องดูให้ดีก่อนซื้อ ก่อนอื่นลองไปทำความรู้จักกับเตารีดเพิ่มเติมกันหน่อยดีกว่า

ประเภทของเตารีด
              โดยหลัก ๆ แล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการทำงาน ได้แก่ เตารีดแห้ง และเตารีดไอน้ำ

  1. เตารีดแห้ง ทำงานโดยใช้หลักการแปลงพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นความร้อน แล้วส่งผ่านไปยังหน้าเตาที่เป็นโลหะ เมื่อนำไปวางบนผ้า รอยยับจะคลายและกลายเป็นความเรียบนั่นเอง ในอดีตไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ หากร้อนเกินไปต้องถอดปลั๊กออก แต่ปัจจุบันได้ถูกพัฒนาจนสามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามต้องการ เพื่อให้เหมาะกับเนื้อผ้าแต่ละชนิด ราคาไม่แพง ในการรีดจำเป็นต้องพรมน้ำ หรือฉีดน้ำยารีดลงไป เพื่อทำให้เส้นใยในผ้าเรียงตัว
  • เตารีดไอน้ำ
    เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากเตารีดแห้ง โดยการเพิ่มคุณสมบัติการพ่นไอน้ำ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรีด ไอน้ำที่ร้อนจะทะลุผ่านเส้นใยผ้า ทำให้ผ้าเรียบเร็ว ประหยัดแรง และประหยัดเวลากว่าแบบแห้ง จึงเหมาะมากกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ยิ่งไปกว่านั้นการมีไอน้ำช่วยหล่อเลี้ยง ยังช่วยลดความเสี่ยงในการไหม้ของหน้าเตาได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียคือ ถ้าทำความสะอาดไม่ดี หรือไม่ได้ใช้เวลานาน อาจจะมีคราบตะกรันจากน้ำออกมาสร้างรอยเปื้อนให้ผ้าได้ หรืออาจเกิดการอุดตันจนทำให้ตัวเครื่องเสียหายได้ด้วย

ควรซื้อแบบไหนดี

              ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณ แนะนำว่าควรซื้อแบบเตารีดไอน้ำ เนื่องจากหากเราปิดฟังก์ชั่นพ่นไอน้ำ ก็สามารถใช้แทนเตารีดแบบแห้งได้ด้วย โดยมีสิ่งที่ควรดูเพิ่มเติมก่อนเลือกซื้อ ดังนี้

  1. กำลังไฟฟ้า
    ค่ากำลังไฟฟ้าที่แนะนำให้ใช้ภายในบ้าน กรณีรีดครั้งละไม่มากให้ร้อนไวกำลังพอดี ควรอยู่ที่ 1200 วัตต์ แต่สำหรับใครที่ต้องรีดครั้งละเยอะๆ แนะนำให้ใช้กำลังไฟ 2000 วัตต์ ขึ้นไป เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการรีด

  2. สารเคลือบหน้าเตา

หน้าเตารีดปัจจุบันมักถูกผลิตมาจากวัสดุที่มีสามารถถ่ายโอนความร้อนได้ดี เช่น สแตนเลส, ไทเทเนียม พร้อมเคลือบด้วยสาร Non-Stick ที่มีคุณสมบัติไม่ติดผ้า เช่น เทฟลอน อีนาเมล หรือเซรามิก เป็นต้น ดังนั้นการเลือกซื้อเตารีด ควรต้องเลือกรุ่นที่มีการระบุว่ามีคุณสมบัติกันติดด้วย เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหล

  • คุณสมบัติพิเศษ
    สำหรับใครที่ต้องการความความสะดวกในการใช้งานที่มากขึ้น ก็ต้องมาพิจารณาเรื่องคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ โดยฟังก์ชันพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้หลักๆ เช่น คุณสมบัติป้องกันและทำความสะอาดตะกรัน เพิ่มพลังไอน้ำ ป้องกันน้ำหยด ปรับความร้อนอัตโนมัติ และ ตัดไฟอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน เป็นต้น  

              ใครรีดผ้าเองเป็นประจำ ก็อย่าลืมนำหลักการเหล่านี้ไปพิจารณาก่อนเลือกซื้อเตารีดมาใช้งานกันนะ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เคล็ดลับการเลือกซื้อ “เครื่องอบผ้า”

               เนื่องจากในการซักผ้านั้น เครื่องซักผ้าจะทำหน้าที่ให้แค่การปั่นหมาด และเราจะต้องนำเสื้อผ้าออกไปตากแดดต่อ ผ้าถึงจะแห้ง คนที่ไม่สะดวกซักผ้าในลักษณะนี้ จึงจำเป็นต้องมองหาตัวช่วย ที่จะช่วยให้การซักผ้าเสร็จเร็วขึ้น เครื่องอบผ้า จึงนับเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญในการซักผ้า เพราะช่วยอบให้ผ้าแห้งได้โดยไม่ต้องใช้เวลาในการตากแดดนาน รวมทั้งยังสามารถทำให้ผ้าแห้งได้ แม้ในเวลาที่ไม่มีแดดด้วย

เคล็ดลับก่อนเลือกซื้อเครื่องอบผ้า

               ปัจจุบันเครื่องอบผ้ามีหลายรุ่นและหลายยี่ห้อ และยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาให้เลือกใช้งานกันมากมาย วันนี้จึงมี เคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อเครื่องอบผ้ามาฝาก โดยก่อนเลือกซื้อ ให้พิจารณาจากสิ่งเหล่านี้

  1. พื้นที่สำหรับวางเครื่องอบผ้า
    เครื่องอบผ้าต้องมีขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป และบริเวณจุดตั้งวางควรมีอากาศถ่ายเทที่ดี เพราะเครื่องอบผ้าอาจมีความร้อนในการทำงาน ถ้าเลือกใช้เป็นเครื่องซักผ้าที่เป็นเครื่องอบผ้าในตัว ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ตั้งวางได้ แต่มีราคาแพงและใช้งานได้ไม่ดีเท่าเครื่องอบผ้าโดยตรง

  2. ฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องอบผ้า
    เครื่องอบผ้ามีหลายรุ่น และแต่ละยี่ห้อก็มีฟังก์ชั่นในการใช้งานที่ต่างกันออกไป การจะเลือกซื้อรุ่นใดมาใช้ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน เพราะฟังก์ชั่นที่มีในเครื่องอบผ้านั้นมีทั้งโหมดถนอมเนื้อผ้า, เซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้น, โหมดทำงานอย่างรวดเร็ว, ฟังก์ชั่นการทำงานตามประเภทของเนื้อผ้า เป็นต้น
  • ระบบเซ็นเซอร์
    ระบบเซ็นเซอร์ที่ดีจะเป็นตัวช่วยคอยตรวจสอบว่าผ้าแห้งหรือยัง และหยุดการทำงานอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาแล้วก็ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ด้วย แต่เครื่องอบผ้าที่มีเซ็นเซอร์นั้นราคาก็จะแพงกว่าแบบธรรมดาพอสมควร
  • ดูงบประมาณ
    การวางแผนตั้งงบประมาณเอาไว้เบื้องต้น จะช่วยให้เลือกซื้อเครื่องอบผ้าได้ตรงกับความต้องการมากขึ้น จากนั้นค่อยเปรียบเทียบรุ่นต่างๆ ที่มีราคาใกล้เคียงกัน
  • การรับประกันสินค้า
    อย่าลืมดูว่าเครื่องอบผ้าที่จะเลือกซื้อนั้น มีเงื่อนไขและระยะเวลาในการรับประกันสินค้าไหม ซึ่งถ้ามีการรับประกัน ก็จะช่วยให้เราใช้งานได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น และยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย


               การอบให้ผ้าแห้งเร็ว ควรเลือกผ้าชนิดเดียวกันอบพร้อมกัน เช่น เลือกผ้าที่มีเนื้อบางอบพร้อมกันก่อน 1 รอบ เพื่อให้ผ้าแห้งพร้อมกัน และใช้เวลาไม่นาน จากนั้นจึงค่อยนำผ้าเนื้อหนาลงไปอบพร้อมกันอีกรอบ หากใครซักผ้ากลางวัน แล้วสามารถนำไปตากแดดต่อได้ แนะนำให้อบหมาด แล้วนำไปตากแดดต่อ แต่หากซักผ้ากลางคืน แนะนำให้อบแห้งสนิทไปเลย เพื่อลดโอกาสการเกิดกลิ่นอับ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เทคนิคการเลือกสมาร์ททีวีให้ถูกใจ และใช้งานได้คุ้มค่า

                สมาร์ททีวี นับเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากในเวลาเพียงไม่นานหลังจากเข้ามาในตลาด ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และมีฟังก์ชันการใช้งานหลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังมีราคาไม่แพงหากเทียบกับเมื่อก่อน แม้ว่าสเปคหรือฟังก์ชันต่างๆ จะมากขึ้นก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าสมาร์ททีวีมีการผลิตรุ่นใหม่ๆ ออกมาทุกปี ราคาจึงไม่ได้สูงเหมือนเมื่อก่อน

ความแตกต่างของ สมาร์ททีวี กับ ทีวีธรรมดา

              สมาร์ททีวีใช้ระบบปฏิบัติการ OS โดยสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ส่วนทีวีธรรมดาจะไม่สามารถทำได้ สมาร์ททีวีจึงใช้ประโยชน์ได้มากกว่า โดยเฉพาะฟังก์ชันที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่างๆ เช่น ดูหนังออนไลน์ ฟังเพลงออนไลน์ เล่นโซเชียลมีเดีย รวมทั้งเล่นเกม ส่วนระบบปฏิบัติการ OS ที่สมาร์ททีวีแต่ละรุ่นใช้ก็ไม่เหมือนกัน ก่อนจะเลือกซื้อสมาร์ททีวียี่ห้อไหน จึงควรทราบก่อนว่าสมาร์ททีวียี่ห้อนั้นใช้ระบบปฏิบัติการอะไร

  • Android TV เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในสมาร์ททีวีหลายยี่ห้อ ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายเหมือนการเล่นโทรศัพท์มือถือระบบ Android สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ผ่าน Play Store หรือ Google Play โดยการลงทะเบียนผ่านอีเมล

  • Web OS เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับสมาร์ททีวียี่ห้อ LG เพียงยี่ห้อเดียว เพราะเป็นระบบปฏิบัติการที่ LG ผลิตขึ้นมาใช้เอง สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ผ่าน LG Store และรองรับการใช้งานหลายหน้าจอพร้อมกัน

  • Firefox OS เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ระบบอื่นๆ เพราะมีฟีเจอร์สนุกๆ ให้เลือกเล่นมากมาย โดยสมาร์ททีวีที่ใช้ระบบนี้คือ Panasonic

  • Tizen เป็นระบบปฏิบัติการของ Samsung ที่พัฒนาจากระบบปฏิบัติการ Meego ให้ใช้ได้ง่ายมากขึ้น สามารถใช้งานได้สะดวกผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ด้วย Smart Hub

เทคนิคการเลือกสมาร์ททีวีให้ถูกใจและใช้งานได้จุใจกว่าเดิม

  1. เลือกขนาดหน้าจอที่เหมาะสม
    สมัยนี้สมาร์ททีวีราคาไม่สูงมาก หลายคนจึงอยากจะเลือกหน้าจอใหญ่ๆ ไว้ก่อน แต่ทั้งนี้การเลือกขนาดหน้าจอทีวี ก็ควรต้องเหมาะสมกับขนาดพื้นที่ใช้งานด้วย

  2. เลือกรุ่นที่มีความคมชัดสูง
    การเลือกสมาร์ททีวีรุ่นที่มีความละเอียดสูงๆ จะช่วยให้ใช้งานได้นานกว่า และรองรับการรับชมความละเอียดสูงในอนาคตได้
  • เลือกรุ่นที่มีฟังก์ชันเยอะไว้ก่อน
    เพราะสมาร์ททีวีถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานของคนยุคใหม่ จึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีและฟังก์ชันใหม่ๆ อยู่เสมอ การเลือกรุ่นที่มีหลายฟังก์ชันไว้ก่อนจึงได้เปรียบกว่า

  • มีพอร์ต HDMI
    เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต และการทำงานหลายรูปแบบ จึงควรเลือกรุ่นที่มีพอร์ต HDMI เพราะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่าย

              สมาร์ททีวี นั้นมีความต่างกับทีวีธรรมดามาก เพราะเป็นการนำเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ หากใครที่ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ การเลือกใช้สมาร์ททีวีนับว่าตอบโจทย์

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เคล็ดลับการเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น

                    ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ช่วยทำให้ชีวิตของคนเราสะดวกสบาย และง่ายขึ้น รวมไปถึงเรื่องใกล้ตัวอย่างเช่นงานบ้าน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา หลายคนจำเป็นต้องอยู่ติดบ้านกันมากขึ้น รวมถึงคนในวัยทำงานก็ต้องนำงานกลับมาทำที่บ้าน เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 การทำงานบ้านจึงกลายเป็นเรื่องที่หลายบ้านให้ความสำคัญมากขึ้น โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากก็คือ “หุ่นยนต์ดูดฝุ่น (Robot Vacuum Cleaner)” ที่ช่วยประหยัดเวลาในการทำความสะอาดบ้านได้มาก แถมยังสะอาดเหมือนกับใช้มือทำเองอีกด้วย

ประโยชน์ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น

  • สามารถปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย เช่น สามารถดูดฝุ่น และถูพื้นได้ในเครื่องเดียว
  • ประหยัดเวลา เพราะสามารถทำความสะอาดบ้านได้โดยอัตโนมัติ และสามารถตั้งเวลาการทำงานได้ด้วย
  • ประหยัดพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่จัดเก็บ เพราะมีขนาดกะทัดรัด
  • ใช้งานง่าย สามารถตั้งระบบผ่านสมาร์ทโฟน หรือเพียงกดปุ่มก็สามารถทำงานได้เลย
  • สามารถทำความสะอาดได้ทั้งฝุ่นขนาดเล็ก เส้นผม ขนสัตว์ และยังไม่ทำให้ฝุ่นกระจายด้วย
  • ทำงานด้วยเสียงที่ไม่ดัง จึงไม่รบกวน และช่วยให้คนในบ้านได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
  • สามารถทำความสะอาดได้หลายพื้นผิว เช่น พรม, พื้นไม้, และกระเบื้อง เป็นต้น

เคล็ดลับการเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น

  1. เช็คพื้นที่ในบ้านก่อน
    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นสามารถทำความสะอาดพื้นผิวได้หลายแบบก็จริง แต่หากพื้นที่บ้านมีสิ่งกีดขวางเยอะ หรือมีการเล่นระดับในบ้านมากเกินไป ก็อาจทำให้การทำงานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมีประสิทธิภาพลดลงได้
  • มีระบบกลับแท่นชาร์จอัตโนมัติ
    โดยส่วนใหญ่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นจะมีระบบกลับแท่นชาร์จอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่หากจะซื้อก็ควรเช็คดีๆ อีกรอบ เพราะฟังก์ชั่นนี้จะช่วยประหยัดเวลา และทำให้เราไม่ต้องตามเก็บหุ่นยนต์ดูดฝุ่นหลังใช้งานเสร็จอีกด้วย
  • เสียงเงียบขณะทำงาน
    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ดีจะไม่ส่งเสียงดังรบกวนขณะทำงานเหมือนเครื่องดูดฝุ่น ดังนั้นก่อนจะซื้อควรตรวจสอบระบบเสียงเพื่อจะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคนในบ้าน
  • มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสม
    ปัจจุบันหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ควรดูที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา จะช่วยทำให้เราใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถตั้งเวลาได้, มีการแจ้งเตือนถ้าขยะเต็ม เป็นต้น

              ใครที่เป็นคนประเภทรักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ชอบทำงานบ้านเอาซะเลย ขอบอกว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นนับเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์มากๆ ถ้ายังไม่มีติดบ้านไว้ ก็น่าจะลองศึกษาดูซักหน่อยนะ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

คำแนะนำเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องออกกำลังกายมาไว้ในบ้าน

ใครๆ ก็รู้ว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งหลายคนสามารถออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ แต่หลายคนก็ต้องขอมีตัวช่วยอย่างเครื่องออกกำลังกายซะหน่อย เพื่อให้มีแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายมากขึ้น

มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ซื้อเครื่องออกกำลังกายมาในราคาแสนแพง แต่ไม่สามารถใช้งานได้คุ้มค่ากับราคาที่เสียไป วันนี้เราจึงมีคำแนะนำให้กับผู้ที่คิดจะซื้อเครื่องออกกำลังกาย ให้ลองพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้ก่อนทำการซื้อ

จุดมุ่งหมายในการซื้อ
คุยกับตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า เราซื้อเครื่องออกกำลังกายนั้นมาใช้ด้วยวัตถุประสงค์อะไร เพื่อลดน้ำหนัก เพื่อกระชับรูปร่าง หรือเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เพราะเครื่องออกกำลังกายแต่ละประเภทจะตอบสนองความต้องการที่ไม่เหมือนกัน

ความปลอดภัย
ต้องดูว่าเครื่องออกกำลังกายนั้นมีระบบความปลอดภัยที่ดีหรือไม่ เช่น หากจะซื้อลู่วิ่ง ควรเลือกที่มีปุ่มบอกค่าแสดงความหนักในการออกกำลังกาย เช่น ชีพจร หรืออัตราการเผาผลาญพลังงาน เพื่อจะรู้ได้ว่าเราออกกำลังกายหนักเกินไปหรือไม่ ในขณะเดียวกัน ก็ควรมีปุ่มฉุกเฉิน เพื่อหยุดการทำงานของสายพานได้ทันที ในกรณีที่เดินหรือวิ่งไม่ทันความเร็วของสายพาน เป็นต้น

วิธีการใช้งานไม่ซับซ้อน
ควรเลือกเครื่องออกกำลังกายที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ควรมีหลายโปรแกรมให้สับสนยุ่งยาก และควรมีไฟสัญญาณขึ้นให้เห็นชัดเจนที่แผงควบคุม ซึ่งจะช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น หรือมีวิธีการบอกที่สามารถเป็นให้แนวทางผู้ใช้ปฏิบัติตามได้ง่ายและสะดวก

ทนทาน
ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรถามหาการรับประกันจากผู้ขายด้วย แล้วลองเปรียบเทียบระยะเวลารับประกันกับอายุการใช้งานจริงของอุปกรณ์ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น สายพานของลู่วิ่ง โดยปกติจะมีอายุการใช้งานอยู่ประมาณ 1-2 ปี ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อก็ควรพิจารณาว่า สายพานนี้ ทางคนขายรับประกันให้เรานานแค่ไหน ในขณะเดียวกันผู้ใช้ก็ต้องทราบวิธีการดูแลรักษาเครื่องด้วย อย่างเครื่องออกกำลังกายประเภทที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบหัวใจ จะต้องเก็บไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อป้องกันความชื้นและความร้อน ที่อาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้

มีพื้นที่เพียงพอเพื่อวางอุปกรณ์
ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องออกกำลังกายใดๆ ควรวัดขนาดพื้นที่ที่ตั้งใจจะวางเครื่องออกกำลังกายเสียก่อน เพื่อเลือกซื้อเครื่องให้มีขนาดพอดีกับพื้นที่ ไม่เกะกะกีดขวาง และสามารถขนย้ายเคลื่อนที่ได้สะดวกด้วย

ใครที่กำลังจะซื้อหาเครื่องออกกำลังกาย มาทำหล่อทำสวย หรือทำความแข็งแรงให้กับตัวเอง ต้องพิจารณาให้เป็นด้วยว่า เลือกอย่างไรจึงจะเหมาะสม

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เลือกสีชุดเครื่องนอนอย่างไรให้เข้ากับธีมการแต่งบ้าน

เวลาที่เราตกแต่งบ้านและห้องนอน คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสนใจในองค์ประกอบใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งชิ้นใหญ่ๆ แต่มักชอบลืมเลือกสีชุดเครื่องนอนให้แมตช์กับสไตล์การตกแต่งห้องด้วย วันนี้เราเลยมีข้อมูลเกี่ยวกับโทนสีที่เข้ากับการแต่งห้องนอนในสไตล์ต่างๆ มาฝาก

สีครีม
ขอเริ่มด้วยโทนสีครีม ซึ่งถือเป็นสีโทนกลางๆ จึงเหมาะกับห้องแทบทุกสไตล์ เพราะไม่ว่าจะตกแต่งสไตล์ไหน การเลือกชุดเครื่องนอนเป็นโทนสีครีม ก็จะทำให้ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง

สีเทา
โทนสีเทาเป็นสีที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการตกแต่งห้องเป็นแนวโมเดิร์น โดยอาจเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์หลักในห้องเป็นสีขาว แล้วใช้ชุดเครื่องนอนที่เป็นสีเทา แต่งตามนี้บอกเลยไม่มีคำว่าพลาด

สีน้ำตาล
นับเป็นโทนสีที่ผู้หลักผู้ใหญ่จะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะความหมายของสีน้ำตาลด้านจิตวิทยาบอกไว้ว่า สามารถช่วยลดความรู้สึกไม่ปลอดภัย บ่งบอกถึงความมั่นคง เรียบง่าย อายุยืน และยังสามารถบำบัดความเศร้าโศกได้อีกด้วย ลูกๆ คนไหนสนใจ ก็ลองหาชุดเครื่องนอนสีนี้ไปฝากคุณพ่อคุณแม่ได้นะ

สีน้ำเงิน
เป็นอีกหนึ่งสีอมตะที่ยังคงฮิตตลอดกาล เนื่องจากมีข้อดีคือ การเลือกสีเข้มๆ ไว้ก่อน เวลาที่เปื้อนจะมองไม่ค่อยเห็นเหมือนสีโทนอ่อน แต่การจะใช้เครื่องนอนสีเข้มก็ไม่สามารถเลือกได้ทุกสีตามต้องการ เพราะเป็นห้องนอน โทนสีจึงควรดูแล้วสบายตาน่านอนด้วย ซึ่งสีน้ำเงินจะให้ความรู้สึกเย็น เพราะเป็นสีของน้ำ หากเลือกสีนี้มาเป็นชุดเครื่องนอนก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่พบมาทั้งวันได้

สีขาว
สุดท้ายเป็นสีเบสิค ที่ไม่ว่าเราจะไปใช้บริการโรงแรมระดับไหน ก็จะเห็นชุดเครื่องนอนทั้งหมดเน้นเป็นโทนสีขาว เพราะเป็นสีที่บ่งบอกถึงความสะอาด ปลอดภัย เรียบง่าย และสบาย คู่ควรแก่การพักผ่อนอย่างที่สุด ถ้าหากเราต้องการให้ห้องนอนที่บ้านมีบรรยากาศแสนสบายน่าพักผ่อนแบบนี้บ้าง ก็เลือกใช้ชุดเครื่องนอนสีขาวได้เลย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

ห้องนอน เป็นที่ที่เราต้องใช้เพื่อการพักผ่อน จึงควรต้องใส่ใจกันมากหน่อย และใครที่กำลังหาไอเดียตกแต่งห้องนอนใหม่ๆ หรืออยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศห้องนอนดูบ้าง

ก็สามารถนำหลักการทั้งหมดนี้ไปใช้กันได้นะ ที่สำคัญอย่าลืมเลือกสีของชุดเครื่องนอนให้แมตช์กับสไตล์การตกแต่งห้องด้วย เพื่อความสวยเพอร์เฟกต์แบบครบองค์ประกอบยังไงล่ะ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“หูฟัง” เลือกยังไง? แบบไหนเหมาะกับคุณ?

                 หูฟัง ถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในในยุคดิจิทัล เพราะใช้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ทำให้ใช้งานสะดวกและหลากหลายมากขึ้น นอกจากจะมีประโยชน์ในการสื่อสาร ใช้รับชมสื่อบันเทิงต่างๆ และแสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยแล้ว ยังมีประโยชน์ด้านความปลอดภัยขณะขับรถอีกด้วย

ประเภทของหูฟัง แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้

  1. แบบแปะหู (On-Ear Headphones)

สวมใส่โดยตัวหูฟังปิดทับอยู่บนใบหู หูฟังประเภทนี้เมื่อใช้งานจะแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย เนื่องจากปิดทับเต็มใบหู ถ่ายทอดเสียงทุ้มลึกได้ ในขณะที่ยังมีขนาดกะทัดรัด พกพาได้สะดวก บางรุ่นยังออกแบบให้สามารถพับเก็บได้ด้วย อย่างไรก็ตามหูฟังประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เจ็บใบหูได้

  • แบบครอบหู (Over-Ear Headphones)

สวมใส่โดยตัวหูฟังวางครอบไปบนศีรษะ หากออกแบบให้สวมใส่สบายและไม่หนักจนเกินไป จะเป็นหูฟังที่เหมาะกับการใช้ดูหนังฟังเพลงได้เป็นเวลานาน เนื่องจากไม่ได้กดทับที่ใบหูโดยตรง อย่างไรก็ตาม หูฟังประเภทนี้อาจทำให้เกิดการสะสมของความร้อนหรือเหงื่อไคลบริเวณรอบใบหูได้ โดยเฉพาะถ้าหากใช้วัสดุที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเช่น หนังเทียม หรือหนังสังเคราะห์

  • แบบอินเอียร์ (In-Ear Headphones)

สวมใส่โดยต้องแหย่ปลายจุกซิลิโคนหรือจุกโฟมเข้าไปในรูหู เพื่อส่งคลื่นเสียงเข้าสู่แก้วหูโดยตรง เป็นหูฟังที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา มีความไวสูง และเก็บเสียงได้ดี เหมาะกับการใช้งานแบบพกพาไปนอกสถานที่ สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เล่นเพลงหรือสมาร์ทโฟนได้ดี

  • แบบเอียร์บัด (Earbuds)

เป็นหูฟังขนาดเล็ก มีรูปแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ส่วนมากจะออกแบบให้มีครอบโฟมหรือขอบยางเพื่อช่วยป้องกันเสียงรั่ว ทำให้มีน้ำหนักเสียงที่ดีขึ้นและมีสมดุลเสียงที่ดี จุดเด่นของหูฟังประเภทนี้คือ ใช้งานสะดวก สามารถสวมใส่เป็นเวลานานได้ เพราะน้ำหนักเบาและไม่บีบรัดใบหู ในขณะที่ยังให้คุณภาพเสียงที่ดี มีความไวสูง สามารถใช้งานกับเครื่องเล่นแบบพกพา หรือสมาร์ทโฟนได้ดี

              ปัจจุบันเป็นยุคที่คนเราต้องการความคล่องตัวมากขึ้น หูฟังมีสายแบบดั้งเดิมอาจไม่ตอบโจทย์มากพอ ทำให้มีการคิดค้นหูฟังไร้สาย หรือ Bluetooth Headphone ซึ่งมีดีไซน์สวยงามล้ำสมัย และมีหลากหลายขนาดให้เลือกใช้งาน จุดเด่นคือไม่มีสายห้อยพะรุงพะรัง ด้วยการนำเอาเทคโนโลยี Bluetooth เข้ามาติดตั้ง ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมต่อกันได้นั่นเอง

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

ขจัดคราบเปื้อนบนเสื้อผ้า จากของง่ายๆ ใกล้ตัว

               ปัญหาคราบเปื้อนบนเสื้อผ้า นับเป็นปัญหาที่ทุกบ้านต้องเคยเจอ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็กๆ ด้วยแล้ว ก็น่าจะยิ่งรู้ซึ้งถึงปัญหานี้ได้ดีกว่าใคร วันนี้เราเลยรวบรวมวิธีกำจัดคราบยอดฮิตบนเสื้อผ้าเจ้าตัวเล็ก ด้วยของที่มีอยู่ในบ้านมาฝาก รับรองว่าง่าย รอยเปื้อนหนีกระจายแน่นอน

ดินสอ
วางใจได้เลยสำหรับบ้านที่มีลูกเป็นศิลปิน แถมยังชอบสร้างผลงานบนเสื้อ เพราะพวกรอยดินสอที่เด็กๆ เค้าฝากไว้นั้น สามารถกำจัดได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ ยาสีฟัน ป้ายลงไปบนรอยดินสอ แล้วขยี้เบาๆ จนรอยเริ่มจาง จากนั้นก็นำไปซักตามปกติเลย จากนี้จะมาอีกกี่รอยก็รับไหว

หมึกปากกาลูกลื่น
บางทีเจ้าตัวเล็กก็ยุ่งวุ่นวาย ชอบไปจับนู่น จับนี่ มาขีดเขียน อย่างปากกาลูกลื่นนี่ก็เหมือนกัน เผลอแป๊บเดียว รู้ตัวอีกที ก็มีลายเส้นมาปรากฏบนเสื้อผ้าซะแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง เพราะรอยเปื้อนจากหมึกแบบนี้เอาออกง่าย แค่นำเสื้อที่เปื้อนมาวางทับไว้บนผ้าแห้งสะอาด จากนั้นนำสำลีชุบ แอลกอฮอล์ ชุ่มๆ ค่อยๆ กดลงไปที่รอยเปื้อน ให้หมึกปากกาค่อยๆ ละลาย แล้วก็ป้ายผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้าลงบนคราบอีกครั้ง ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วขยี้เบาๆ ก็สามารถนำเสื้อไปซักตามปกติได้

ซอสมะเขือเทศ
อาหารของเด็กๆ มักมีซอสมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น มักกะโรนีผัดซอส,ไส้กรอกต่างๆ รวมทั้งเฟร้นช์ฟรายด์ของโปรด จึงไม่แปลกที่หลังมื้ออาหารจะต้องมีรอยเปื้อนซอสมะเขือเทศ แต่คราบเปื้อนจากบรรดาซอสต่างๆ นั้นกำจัดได้ง่ายมาก ด้วยการแช่ผ้าที่เปื้อนไว้ในน้ำที่ผสม เบกกิ้งโซดา ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

ช็อคโกแลต
ของโปรดเจ้าตัวเล็กทั้งโลกคงต้องยกให้กับช็อคโกแลต และก็แน่นอนว่ากินทีไรจะต้องได้คราบเปื้อนเป็นของแถมด้วยเสมอ วิธีการทำความสะอาดเบื้องต้น ให้เช็ดออกด้วยทิชชู่เปียก จากนั้นค่อยใช้ มะนาว ฝานครึ่งลูก มาถูๆ ตรงที่เป็นรอยเปื้อน แล้วค่อยนำไปซักตามปกติ

สนิม
เพราะสนามเด็กเล่น คือ สวรรค์ของเด็กๆ และหลังจากก้าวเท้าพ้นสนามเด็กเล่นออกมา ก็มักจะพบรอยสนิมจากเครื่องเล่นติดเสื้อผ้ามาด้วยบ่อยๆ แต่เราสามารถแก้ไขได้โดยนำเปลือก มะนาว มาขัดๆ ถูๆ ลงบนคราบ จากนั้นก็บีบน้ำมะนาวที่เหลืออยู่ลงไปนิดหน่อย ทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วนำไปซัก ถ้าคราบยังไม่ออกก็ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วย ใช้แปรงซักผ้าช่วยขัดอีกแรง คราบสนิมก็จะจางลงได้

              ต่อไปนี้ไม่ว่าเด็กๆ จะพาคราบอะไรกลับมาบ้าน คุณแม่ก็เอาอยู่ด้วยวิธีการทำความสะอาดแบบง่ายๆ จากของภายในบ้าน ที่แทบไม่ต้องเสียเงินเลย

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“เตาปิ้งย่าง” ใช้ภายในอาคารได้ไหม?

               เชื่อว่าคงเป็นคำถามที่หลายคนน่าจะเคยสงสัยกันว่า เตาปิ้งย่าง นั้นสามารถใช้งานภายในตัวอาคารได้หรือไม่ เพราะจากเตาย่างอาหารแบบดั้งเดิมที่ต้องก่อไฟด้วยถ่าน มักจะมีควันไฟเยอะจนไม่สามารถใช้ในบ้านได้ แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้ได้มีการทำเตาย่างออกมาอีกหลายแบบ รวมทั้งแบบแก๊ส และแบบไฟฟ้า จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แล้วเตาย่างพวกนี้ใช้ในอาคารบ้านเรือนได้หรือไม่ และต้องใช้อย่างไรจึงจะปลอดภัย

เตาปิ้งย่างแบบไหนสามารถใช้ภายในอาคารได้

                 การจะดูว่าเตาปิ้งย่างนั้นๆ ใช้ภายในอาคารได้หรือไม่ ต้องดูว่ามีควันไฟหรือไม่ เพราะควันไฟจากการปิ้งย่างอาหารจะเป็นพิษต่อร่างกาย และอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย จึงไม่ควรใช้ในบ้านอย่างเด็ดขาด แต่สามารถใช้ย่างอาหารภายนอกบ้านบริเวณพื้นที่โล่งได้

ดังนั้นหากเป็นเตาย่างอาหารที่มีควันไฟ เช่น เตาย่างแบบแก๊สหรือแบบถ่าน ไม่ควรใช้ภายในอาคาร แต่ถ้าเป็นเตาย่างแบบไฟฟ้า ก็สามารถใช้ได้ เพราะเป็นระบบไร้ควัน และถูกผลิตมาให้ใช้งานภายในอาคารอยู่แล้ว

               นอกจากนี้ก็มีเตาแบบปิ้งย่างอาหารอีกประเภทหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ภายในอาคารได้ นั่นก็คือ เตาย่างไร้ควัน ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเตาย่างแบบแก๊ส แต่มีการผลิตขึ้นมาให้ใช้ย่างอาหารได้โดยไม่มีควันนั่นเอง

ใช้เตาย่างภายในอาคารอย่างไรให้ปลอดภัย

              แม้ว่าเราจะเลือกใช้เตาย่างแบบไฟฟ้า หรือเตาย่างไร้ควันภายในอาคารแล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% เพราะอาจเกิดอันตรายอื่นๆ จากการใช้งานผิดวิธี หรือใช้งานแบบไม่ระมัดระวังได้เหมือนกัน ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าจะต้องใช้งานอย่างไรจึงปลอดภัย

  1. เลือกใช้เตาย่างที่ได้มาตรฐาน
    หากจะใช้เตาย่างอาหารภายในอาคาร ต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดยต้องเลือกเตาย่างที่ได้มาตรฐาน และอย่าลืมตรวจสอบสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อด้วย ว่าไม่มีการชำรุดเสียหาย
  • ตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน
    ในกรณีที่เป็นเตาย่างแบบไฟฟ้า บางครั้งสายไฟก็อาจรั่วโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ ดังนั้นก่อนใช้งานทุกครั้งควรตรวจสอบสายไฟให้ดี รวมถึงตรวจเช็คสภาพของเตาย่างด้วย หากพบว่ามีการชำรุดเสียหาย ไม่ควรนำมาใช้อย่างเด็ดขาด
  • อย่าใช้ขณะเตาเปียกน้ำ
    หากเพิ่งล้างทำความสะอาดเตาย่างไฟฟ้าเสร็จ อย่ารีบนำมาใช้งานในทันที ควรรอให้แห้งสนิทเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากไฟช็อตได้สูงมาก
  • อย่าใช้มือสัมผัสหน้าเตาขณะใช้งาน
    ในขณะกำลังใช้งานเตาย่าง บริเวณหน้าเตาที่เป็นตะแกรงปิ้งย่างจะมีความร้อนสูง ไม่ควรนำมือไปสัมผัสโดยตรง ควรหาที่คีบอาหารมาใช้จะดีที่สุด
  • ถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ
    เมื่อใช้งานเสร็จควรถอดปลั๊กออกทุกครั้ง ห้ามเสียบทิ้งไว้อย่างเด็ดขาด เพราะอาจเกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรและทำให้ไฟช็อตได้ ทั้งนี้อาจถึงขั้นทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้เลยทีเดียว

             ใครที่ต้องการปิ้งย่างอาหารภายในตัวอาคาร ควรเลือกเตาที่เหมาะสม และใช้อย่างปลอดภัยตามคำแนะนำเหล่านี้ เพราะอันตรายอาจเกิดขึ้นได้เสมอหากเราใช้งานผิดวิธี หรือไม่ระมัดระวังมากพอ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“เครื่องปั่นอาหาร” แตกต่างกับ “เครื่องปั่นน้ำผลไม้” อย่างไร?

               เครื่องปั่นอาหาร กับ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ต่างก็เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีไว้ช่วยลดเวลาในการเตรียมอาหารของพ่อครัวแม่ครัวยุคใหม่ให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งดูเผินๆ แล้ว หลักการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า 2 ชนิดนี้อาจจะดูไม่แตกต่างกันนัก แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกแล้ว จะพบว่าวัตถุประสงค์การใช้งานของอุปกรณ์ทั้งสองนั้น แตกต่างกันพอสมควร

เลือกใช้แบบไหน จึงจะเหมาะกับเมนูอาหารของเรา?

  • ซุป
    สำหรับเมนูประเภทซุปนั้น สามารถเลือกใช้ได้ทั้งเครื่องปั่นอาหาร และเครื่องปั่นน้ำผลไม้
  • เครื่องดื่มสมูทตี้
    เครื่องปั่นน้ำผลไม้เหมาะที่สุดสำหรับเมนูเครื่องดื่มสมูทตี้ เพราะเป็นเครื่องปั่นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานประเภทนี้เป็นหลักอยู่แล้ว

  • ซอสชนิดเข้มข้น
    เครื่องปั่นอาหารเหมาะกับการทำซอสชนิดเข้มข้น เช่น ครีมอโวคาโด และครีมถั่ว เป็นต้น
  • หั่นและซอยผัก
    เครื่องปั่นอาหารเหมาะสำหรับการหั่นและซอยผักในปริมาณมากๆ ในคราวเดียวกัน เนื่องจากเครื่องปั่นประเภทนี้บางยี่ห้อจะมีใบมีดหลายแบบ ที่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ไม่มี เช่น ใบมีดสำหรับหั่น ซอย และสไลด์

  • ปั่นเนย
    การทำชีสฝอย หรือผสมแป้งทำเบเกอรี่และเค้ก ต่างก็เป็นเมนูที่เหมาะจะใช้เครื่องปั่นอาหารมากกว่าปั่นน้ำผลไม้ เนื่องจากมีลักษณะเหนียวหนืด และเข้มข้นค่อนข้างมาก

ข้อดีข้อเสียของเครื่องปั่นทั้ง 2 แบบ

           เครื่องปั่นอาหาร มีข้อดีหลายอย่าง เหมาะใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยเตรียมวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น บดเนื้อสัตว์ หั่นซอยผัก หรือปั่นธัญพืชที่ค่อนข้างแข็งได้ดี รวมทั้งสามารถปั่นส่วนผสมแป้งที่ใช้ทำเบเกอรี่และเค้ก ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว จัดเป็นเครื่องปั่นอเนกประสงค์ที่ทำได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการบด หั่น ตัด ซอย หรือผสมอาหารให้ ส่วนมากโถของเครื่องปั่นประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าโถของเครื่องปั่นน้ำผลไม้ แม้ว่าจะมีข้อเสียในเรื่องของความยุ่งยากในการทำความสะอาดมากกว่า แต่ก็สามารถทดแทนได้ด้วยความเร็วของเครื่อง ทำให้ช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมอาหารไปได้มากเช่นกัน

             ส่วน เครื่องปั่นน้ำผลไม้ มีข้อดีที่สามารถใช้ปั่นวัตถุดิบที่เป็นของเหลวได้ดี เช่น ปั่นน้ำผักผลไม้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภท “สมูทตี้” แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการปั่นอาหารที่เป็นของแข็งมากนัก อย่างไรก็ดีสำหรับเครื่องปั่นน้ำผลไม้ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ ก็พอจะใช้ปั่นวัตถุดิบประเภทอื่นๆ ได้บ้าง

                เครื่องปั่นแต่ละประเภท ต่างก็หมาะใช้งานกับวัตถุดิบที่แตกต่างกันไป หากเลือกไม่ได้ว่าควรซื้อเครื่องปั่นแบบไหนดี ก็ลองจดรายละเอียดความต้องการในการใช้งานออกมาเป็นข้อๆ ดู เพื่อจะได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น หรือหากไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้จริงๆ ก็อาจซื้อเครื่องปั่นทั้ง 2 ชนิดติดครัวไว้เลยก็ได้ เพื่อการใช้งานได้อย่างครบถ้วนมากขึ้น หรือเลือกแบบที่มีโถปั่นแยกทั้งอาหารและน้ำได้ในรุ่นเดียว ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจ

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

“กระเป๋าจัดระเบียบ” เลือกยังไงให้ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า?

                  ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกชีพจรลงเท้า ชอบท่องเที่ยวหรือเดินทางบ่อย ไม่ว่าจะเป็นด้วยหน้าที่ทำงานหรือภารกิจส่วนตัว เวลาที่ต้องจัดกระเป๋าเดินทางคงจะเหนื่อยใจไม่น้อย โดยเฉพาะสาวๆ ที่มักจะมีของใช้กระจุกกระจิกมากมาย บางทีของก็เยอะเกินไปจนขนไม่หมด บางครั้งจัดเสร็จแล้วแต่ก็หาของไม่เจอ วันนี้เราเลยมีตัวช่วยดีๆ ในการจัดกระเป๋าเดินทางมาฝาก นั่นก็คือ กระเป๋าจัดระเบียบ ที่เรียกกันว่า bag in bag หรือ กระเป่าใบเล็กๆ ซึ่งใส่ซ้อนเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่อีกทีหนึ่ง

ประโยชน์ของกระเป๋าจัดระเบียบ

  • ช่วยให้สามารถใส่สิ่งของได้มากขึ้น
  • ช่วยแบ่งพื้นที่ในกระเป๋าให้เป็นระเบียบ
  • ช่วยแยกแยะสิ่งของแต่ละประเภทออกจากกัน
  • ช่วยให้หาของในกระเป๋าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
  • ใช้ได้กับกระเป๋าทุกแบบ ทั้งกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเป้ หรือกระเป๋าถือ
  • มีให้เลือกหลายขนาด หลายสีสัน และหลายวัสดุ
  • ราคาไม่แพง

ข้อแนะนำในการเลือกกระเป๋าจัดระเบียบ

  1. เลือกตามลักษณะสิ่งของ เช่นของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างหวี อุปกรณ์แต่งหน้า ทิชชู่ ควรเลือกที่ไม่เล็กจนเกินไป สามารถใส่ของได้หมด หรือหากจะใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โน้ตบุ๊ก ควรเลือกแบบมีฟองน้ำเพื่อกันกระแทก เป็นต้น
  • เลือกตามลักษณะกระเป๋าที่จะใส่ เช่น จะนำไปใส่ในกระเป๋าถือ ก็ควรเลือกใบเล็กๆ โดยให้เป็นรูปทรงและขนาดที่เล็กกว่ากระเป๋าถือเล็กน้อย และควรเป็นกระเป๋าที่ใช้งานแนวนอน เพื่อให้หยิบใช้งานได้สะดวก และง่ายต่อการเปลี่ยนกระเป๋า
  • เลือกจากลักษณะการใช้งาน เช่น การจัดกระเป๋าเดินทาง ต้องเตรียมสิ่งของสำคัญที่ต้องใช้เป็นประจำแยกไว้ต่างหากเพื่อความสะดวก อย่างของใช้ในห้องน้ำ เสื้อผ้า ถุงเท้า ยา ซึ่งของแต่ละประเภทสามารถแยกใส่กระเป๋าใบเล็ก เพื่อการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

กระเป๋าจัดระเบียบสามารถหาซื้อจากที่ไหนได้บ้าง

             แหล่งที่นิยมซื้อกระเป๋าจัดระเบียบกันในปัจจุบัน ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าทั่วไป แหล่งซื้อขายสินค้าขายส่ง เช่น สำเพ็ง, ตลาดนัดจตุจักร, ตลาดโบ๊เบ๊ รวมไปถึงซื้อตามร้านค้าออนไลน์ก็ได้เช่นกัน โดยราคากระเป๋าก็จะเริ่มต้นกันตั้งแต่หลักสิบ ไปจนถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ การตัดเย็บ ดีไซน์ และแบรนด์สินค้า  

            อย่างไรก็ตาม หากซื้อตามร้านค้าทั่วไปย่อมจะมีข้อดี คือ ได้เห็นคุณภาพของสินค้าจริงๆ ทั้งการตัดเย็บ สี รูปแบบ ว่าตรงตามความต้องการหรือไม่ ส่วนการซื้อตามร้านค้าออนไลน์ อาจมีข้อดีคือ ราคาถูกกว่าท้องตลาด แต่ก็ควรเลือกซื้ออย่างระมัดระวัง โดยอ่านรีวิวสินค้า และสอบถามจากผู้ขาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ป้องกันการได้รับสินค้าไม่ตรงปก

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

แอร์เคลื่อนที่ ดีอย่างไร?

                พอเข้าหน้าร้อนทีไร เครื่องใช้ในบ้านที่คนจะนึกถึงกันมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเครื่องทำความเย็นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศ ที่หลายคนนิยมเรียกกันติดปากว่า แอร์ นั่นเอง

                แอร์ ที่ใช้กันอยู่ในบ้านทั่วไปนั้นมีหลายแบบ หลายขนาด แต่วันนี้เราจะขอพูดถึงแอร์ขนาดเล็ก ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกสบายมากขึ้น ที่เราเรียกกันว่า แอร์เคลื่อนที่

                บางครั้งการติดแอร์ห้องต่างๆ ทั่วทั้งบ้าน ก็ถือเป็นความสิ้นเปลืองเกินไป หรือบางบ้านอาจติดตั้งไม่ได้ด้วยเหตุผลทางด้านสถาปัตยกรรม ด้วยความที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ แอร์เคลื่อนที่ จึงช่วยแก้ปัญหาไปได้มากเลยทีเดียว เพราะมีหลักการทำงานที่ไม่ต่างกับแอร์ติดผนัง เพียงแต่บางยี่ห้อ บางรุ่นอาจต้องการความเข้าใจในรายละเอียดการทำงานบ้างพอสมควร ในขณะที่บางรุ่นต้องมีการ DIY ช่วยเหลือการทำงานบางส่วนด้วย

ข้อดีของแอร์เคลื่อนที่

แอร์เคลื่อนที่นั้นมีข้อดีกว่าแอร์บ้านแบบติดผนังทั่วไปในเรื่องของการติดตั้งและการเคลื่อนย้าย ดังนี้

  • การติดตั้ง สามารถวางกับพื้นได้เลย ไม่ต้องเจาะกำแพงติดตั้งให้ยุ่งยาก
  • มีน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
  • ใช้งานง่าย สามารถเสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลย แค่ต้องหาตำแหน่งวางท่อลมระบายความร้อน และท่อน้ำทิ้งไว้ด้วย
  • ดูแลรักษาง่าย เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด

ข้อเสียของแอร์เคลื่อนที่

อย่างไรก็ตาม แอร์เคลื่อนที่อาจมีข้อเสียในเรื่องของประสิทธิภาพอยู่บ้าง แต่ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ก็อาจไม่ต้องคำนึงถึงข้อเสียเหล่านี้เลย

  • แอร์เคลื่อนที่ จัดเป็นแอร์ขนาดเล็ก ไม่เหมาะจะเปิดในห้องกว้างๆ เพราะจะให้ความแค่เย็นในพื้นที่จำกัด
  • อัตราการกินไฟเกือบเท่าแอร์บ้าน ในขณะที่ทำความเย็นได้น้อยกว่าแอร์บ้าน
  • ต้องยื่นท่อลมร้อนเป่าออกนอกห้องทุกครั้ง เพื่อระบายความร้อน

              แอร์แบบเคลื่อนที่ เป็นรูปแบบของแอร์ที่กำลังได้รับความนิยมมากทั้งในไทยและต่างประเทศ เพราะสะดวกในการเคลื่อนย้าย ทำให้ข้อจำกัดทั้งหลายในอดีตที่เคยมีนั้นหมดไป

เหมาะกับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในหอพัก อพาร์ทเม้นต์ คอนโดมิเนียม ที่อยากจะให้ที่พักเย็นสบาย แต่ไม่สามารถติดตั้งแอร์ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำแอร์เคลื่อนที่ย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ได้อีกด้วย  ต่อไปนี้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้าน และไม่ว่าจำนวนห้องในบ้านจะมีมากแค่ไหน

แม้ว่าจะออกนอกสถานที่ไปบ้านตากอากาศ หรือแม้แต่แคมป์ปิ้งก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่ได้รับความสบาย เพราะแค่มีแอร์เคลื่อนที่ ก็เปรียบเหมือนเราพกห้องแอร์ไปด้วยทุกที่แล้ว หากไม่อยากอยู่อย่างร้อนอบอ้าวในช่วงหน้าร้อนนี้แล้วล่ะก็ บ้านใครยังไม่มีแอร์ต้องรีบหามาใช้ด่วนเลย

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เลือกแชนเดอเลียร์ยังไงให้เพอร์เฟค

แชนเดอร์เลียร์ เป็นคำทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า โคมระย้า ที่แขวนอยู่บนเพดาน โดยสมัยก่อนจะพบได้แค่ตามโบสถ์ หรือบ้านเศรษฐีเท่านั้น ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเหมือนเชิงเทียนแขวนเอาไว้ แต่ในปัจจุบันนี้ มีให้เลือกหลากหลายมาก มีทั้งแบบคริสตัล กระจก อลูมิเนียม และพลาสติก ส่วนดีไซน์ ก็จะมีทั้งที่เป็นลักษณะดั้งเดิม และดีไซน์อื่นๆ ให้เลือกจนนับไม่ถ้วน

วิธีการเลือกซื้อแชนเดอเลียร์

เนื่องจาก แชนเดอร์เลียร์ เป็นของแต่งบ้านชิ้นใหญ่และราคาแพง ก่อนซื้อจึงควรมีการวางวางแผนล่วงหน้า เพื่อป้องกันการผิดพลาด และใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้

  1. กำหนดตำแหน่งติดตั้ง
    ส่วนใหญ่แล้วเรามักติดตั้งแชนเดอเลียร์ไว้ในห้องนั่งเล่น หรือ ห้องรับประทานอาหาร ส่วนตำแหน่งในการติดตั้ง เกือบ 90% นิยมติดตั้งไว้กลางห้อง แต่ก็มีบ้างที่จะติดไว้ตำแหน่งอื่น อย่างเหนือโต๊ะกินข้าว หรือเหนือบันได การรู้ตำแหน่งติดตั้งที่ชัดเจน จะช่วยให้สามารถเลือกแบบได้ลงตัวมากขึ้น
  • วัดขนาดและน้ำหนัก
    แชนเดอเลียร์ที่เราเลือกไม่ควรใหญ่และมีน้ำหนักมากเกินไป เพราะจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ถ้าเป็นคอนโดที่ห้องเล็กมาก ก็ไม่ควรเลือกขนาดใหญ่ แต่ถ้าเป็นบ้าน จะเลือกขนาดใหญ่หน่อยก็ได้ แต่ต้องสมดุลกับขนาดห้องด้วย ในขณะเดียวกัน ถ้าติดตั้งไว้เหนือโต๊ะกินข้าว ก็ให้ยึดความกว้างและยาวของโต๊ะเป็นหลัก โดยเลือกแชนเดอเลียร์ขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของโต๊ะกินข้าว จะลงตัวและดูดีที่สุด
  • วัดความยาว
    ถ้าวัดจากพื้น ควรให้แชนเดอเลียร์ห่างจากพื้นห้องประมาณ 7 ฟุต ยิ่งเพดานบ้านใครสูง ตัวแชนเดอเลียร์ก็ควรยาวลงมามากกว่าปกติ เพราะถ้าเลือกแบบสั้นๆ ก็จะดูไม่สมดุลกับห้อง ในทางตรงกันข้าม หากเพดานไม่สูงมาก แต่เลือกโคมไฟยาว ก็จะทำเพดานดูต่ำกว่าความเป็นจริง ส่วนถ้าจะติดไว้เหนือโต๊ะกินข้าว ก็ให้วัดความสูงจากโต๊ะเป็นหลัก
  • เลือกดีไซน์
    ไม่ว่าจะแต่งห้องสไตล์ไหน แชนเดอเลียร์ก็มีให้เลือกได้เหมาะกับการแต่งห้องอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันนี้มีดีไซน์ออกมาเยอะมากจริงๆ และเนื่องจากตัวของแชนเดอเลียร์เองมีความเด่นอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ดูแตกต่าง สามารถเลือกให้กลมกลืนกับธีมการแต่งห้องนั้นๆ ได้เลย โดยราคาก็จะขึ้นอยู่กับวัสดุและดีไซน์ที่เลือก อย่างไรก็ตาม ราคาจะถูกหรือแพงนั้นไม่สำคัญ สำคัญตรงที่การเลือกให้เหมาะกับห้องของเรามากกว่า

แม้แชนเดอเลียร์จะเป็นอุปกรณ์ที่ให้แสงสว่าง แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด จะต้องไม่ใช่แค่ให้แสงไฟอย่างเดียว แต่ต้องตอบโจทย์เรื่องความสวยงามด้วย

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน

Categories
เคล็ดลับในบ้าน

เลือกมู่ลี่อย่างไรให้เหมาะ

มู่ลี่ เป็นอุปกรณ์แต่งบ้านยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เช่นเดียวกับม่าน คือกรองแสง หรือบังแสงแดด ที่ส่องผ่านเข้ามาภายในบ้าน นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ห้องดูสวยงาม และสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับเราได้เป็นอย่างดี สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งประตูและหน้าต่าง

ซึ่งจะว่าไป มู่ลี่ ก็คือผ้าม่านประเภทหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ทำจากผ้าเหมือนม่านทั่วๆ ไป แต่จะทำจากวัสดุที่หลากหลาย เช่น ไม้ ไวนิล อะลูมิเนียม และอื่นๆ มีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ เรียงต่อกันในแนวนอน ร้อยด้วยเชือก และมีรอกสำหรับปิดเปิด หรือปรับแนวระดับให้แสงผ่าน มู่ลี่ ยังเป็นอุปกรณ์ตกแต่งให้บ้านมีสีสัน ทันสมัย สวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศ ทั้งยังมีดีไซน์ที่เข้ากันได้กับบ้านทุกสไตล์อีกด้วย

ชนิดของมูลี่ที่นิยมใช้งาน         

ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวัสดุที่ใช้ผลิตมู่ลี่ขึ้นมาหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป รวมถึงราคาก็แตกต่างกันด้วย เรามาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง

  • มู่ลี่ไม้ (Wooden Blinds
    เป็นวัสดุที่ทำให้ได้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ อบอุ่น นุ่มนวลสบายตา ไม่ว่ายุคไหน มู่ลี่ไม้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่เสมอ เพราะใช้งานง่าย และยังเหมาะกับการตกแต่งบ้านทุกสไตล์
  • มู่ลี่อลูมิเนียม (Venetian Blinds)
    เป็นชนิดที่สามารถเปิดใช้งานได้กว้าง เปิดปิดรับแสงได้สะดวก และใช้พื้นที่ในการม้วนเก็บน้อยกว่าแบบอื่น เพราะค่อนข้างบาง เหมาะกับการใช้ในสำนักงาน
  • มู่ลี่พลาสติก (Plastic Blinds)
    ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี และราคาไม่สูง ทั้งยังมีแบบให้เลือกเยอะ และติดตั้งเองได้ง่าย แต่ก็อาจมีข้อเสียที่ใบมักจะหักงอได้ง่าย
  • มู่ลี่ไม้สังเคราะห์ หรือโฟมวูด (Foam Wood Blinds)
    มีจุดเด่นคือ ทนต่อแสงแดดจัดได้ดี และลดแสง UV ได้สูง ทั้งยังมีสีสันและลวดลายให้เลือกมาก ไม่ซีด ไม่ลอก โดนน้ำไม่บวม หรือบิดงอ จึงเหมาะใช้กับพื้นที่อย่างในห้องน้ำ และห้องครัว ส่วนราคาก็ถูกกว่าชนิดอื่นๆ ด้วย
  • มู่ลี่ผ้า (Fabric Blinds)
    เป็นชนิดที่มีการออกแบบ และผลิตขึ้นจากผ้าหลากหลาย ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ ผ้าขนสัตว์ และผ้าไหม ทำโดยการนำผ้าไปรีด แล้วขึ้นเส้นใยให้เป็นซี่ระแนง มีความสวยโดดเด่น และหรูหราเป็นอย่างมาก แต่ไม่นิยมใช้งานกันมากนัก เพราะทำความสะอาดยาก และมีราคาสูงกว่าชนิดอื่น

การตกแต่งบ้านโดยใช้มู่ลี่ ต้องดูว่า เราจะติดตั้งไว้บริเวณใด หากเป็นห้องทำงาน หรือห้องนอน ก็สามารถเลือกวัสดุที่ชอบ และลวดลายสีสันตามต้องการได้ แต่หากใช้งานในห้องน้ำ ก็ควรเลือกแบบที่กันน้ำ หรือหากใช้งานในห้องครัว ซึ่งจะมีคราบเปรอะเปื้อนอยู่เป็นประจำ ก็ควรเลือกแบบที่ทำความสะอาดง่าย หรือเลือกใช้สีเข้มๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังต้องดูทิศของห้องประกอบด้วย เช่น หากมีแสงส่องเข้าถึงมาก ก็จำเป็นต้องใช้มูลี่แบบทึบแสงมากๆ เพื่อช่วยให้ป้องกันแสง และลดอุณหภูมิห้อง ไม่ให้ร้อนจนเกินไป

ติดตามบทความ เคล็ดลับในบ้าน ในทุกสัปดาห์ได้ที่ baaninspire.com

FB : คนรักบ้าน